การนำเอาทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการของอิริคสัน และ
ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ของ บี เอฟ สกินเนอร์
มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหางานบริการแนะแนวในสถานศึกษาด้านการบริการให้คำปรึกษา
ครูวีร์
บริการให้คำปรึกษานับว่าเป็นบริการที่สำคัญที่สุดในบริการแนะแนว
เป็นเสมือนหัวใจของบริการแนะแนว
การบริการแนะแนวในสถานศึกษาจะขาดบริการให้คำปรึกษาไม่ได้
และผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา ทำความเข้าใจ
หลักจิตวิทยา ทั้งทฤษฎีด้านพัฒนาการและด้านการเรียนรู้
และนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพื่อการบริการให้คำปรึกษาเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้เรียน
หลักการของการให้คำปรึกษาคือ
การให้คำปรึกษาเป็นการช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง
ที่อาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเองและเข้าใจปัญหา
ให้ความรู้และทางเลือก ในการแก้ปัญหานั้นอย่างเพียงพอ
เพื่อให้ผู้เรียนมีสภาพอารมณ์และจิตใจที่พร้อมจะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง
และวัตถุประสงค์ของการให้คำปรึกษาจะต้องช่วยให้ผู้เรียน 1. เกิดแรงจูงใจที่จะให้ข้อมูลแก่ครู 2. เข้าใจและเห็นปัญหาของตนเอง 3. อยากแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตนเอง
4.ดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตนเอง
ซึ่งจากหลักการที่กล่าวมา การศึกษาทฤษฎีด้านพัฒนาการทางสังคม
ซึ่งเน้นพัฒนาการด้านบุคลิกภาพของบุคคลในแต่ละช่วงวัยของอิริคสันจะช่วยให้ครูผู้รับผิดชอบงานบริการแนะแนวด้านการให้คำปรึกษาเข้าใจบุคลิกภาพและความต้องการของผุ้เรียนในแต่ละช่วงวัยได้เป็นอย่างดี
อีริคสัน ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางบุคลิกภาพว่า การพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดขึ้นเนื่องจากการที่คนติดต่อสัมพันธ์กับสังคม โดยที่เขาได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น ซึ่งจะสืบเนื่องติดต่อกันไปตลอดชีวิต ในแต่ละขั้นของพัฒนาการทางบุคลิกภาพ มีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้ไม่ทางบวกก็ทางลบ ถ้าองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูเป็นไปอย่างเหมาะสมก็จะส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลนั้นๆ ไปในลักษณะที่สมบูรณ์ มีสุขภาพจิตที่ดี มีชีวิตที่มีความสุข ในทางตรงกันข้าม ถ้าองค์ประกอบต่างๆ ในขั้นนั้นๆ ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ที่มีปัญหาทางการปรับตัว มีปัญหาทางอารมณ์ แต่ละขั้นของพัฒนาการจะได้รับอิทธิพลจากขั้นที่มาก่อนซึ่ง งานบริการแนะแนวเน้นการบริการผู้เรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งหากพิจารณาตามทฤษฎีดังกล่าวแล้ว ผู้เรียนจะอยู่ในช่วงต่อไปนี้
อีริคสัน ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางบุคลิกภาพว่า การพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดขึ้นเนื่องจากการที่คนติดต่อสัมพันธ์กับสังคม โดยที่เขาได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น ซึ่งจะสืบเนื่องติดต่อกันไปตลอดชีวิต ในแต่ละขั้นของพัฒนาการทางบุคลิกภาพ มีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้ไม่ทางบวกก็ทางลบ ถ้าองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูเป็นไปอย่างเหมาะสมก็จะส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลนั้นๆ ไปในลักษณะที่สมบูรณ์ มีสุขภาพจิตที่ดี มีชีวิตที่มีความสุข ในทางตรงกันข้าม ถ้าองค์ประกอบต่างๆ ในขั้นนั้นๆ ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ที่มีปัญหาทางการปรับตัว มีปัญหาทางอารมณ์ แต่ละขั้นของพัฒนาการจะได้รับอิทธิพลจากขั้นที่มาก่อนซึ่ง งานบริการแนะแนวเน้นการบริการผู้เรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งหากพิจารณาตามทฤษฎีดังกล่าวแล้ว ผู้เรียนจะอยู่ในช่วงต่อไปนี้
ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกต่ำต้อย (Industry Versus
Inferiority)จะอยู่ในช่วงอายุ 6-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยเด็กตอนปลาย
เด็กในวัยนี้มีความเจริญเติบโตมาก เริ่มแสดงความคิดเห็นและแก้ปัญหาต่างๆ ได้
เด็กจะเริ่มพัฒนาความรู้สึกเด่น โดยการพยายามเรียนรู้ที่จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เริ่มขยันขันแข็งหาความรู้ใส่ตนเอง สิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับการพัฒนาในวัยนี้ คือ
รู้สึกมีปมด้อยถ้าเขาทำงานไม่สำเร็จ หรือช่วยตนเองไม่ได้
แต่ถ้าเด็กได้รับการกระตุ้นให้ทำสิ่งต่างๆ จนสำเร็จ ให้กำลังใจ คำชมเชย
ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กเกิดความพยายามและขยันหมั่นเพียร
ซึ่งการบริการให้คำปรึกษาเด็กในช่วงวัยประถมนี้
ครูแนะแนวนำเอาทฤษฎีนี้มาแก้ปัญหา โดยครูจะต้องเข้าใจผู้เรียน และมุ่งให้ผู้เรียน
เข้าใจตนเอง รู้จักตนเอง รู้ถึงความถนัดและความชอบของตนเอง
ส่งเสริมความถนัดของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ให้ความสำคัญแก่เด็กๆทุกคน เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปมด้อย
รวมทั้งมุ่งให้ผู้เรียนเข้าใจเพื่อนๆของตนด้วย และเมื่อต่างเข้าใจธรรมชาติของเด็กในช่วงวัยนี้
เด็กจะเปิดใจที่จะเล่าความรู้สึก ปัญหา และความต้องการของตนแก่ครู
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นำมาแก้ปัญหาคือ
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ นับว่าเป็น “จิตวิทยาสำหรับครู” ที่สำคัญมาก ซึ่ง
“ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ” โดยเน้นหลักการเสริมแรง มีหลักสำคัญว่า
เราสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนได้โดยวิธีการให้รางวัลหรือโดยหลักการเสริมแรง
สกินเนอร์อธิบายว่ามนุษย์เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆโดยผ่านประสบการณ์ที่ให้ผลกรรมเชิงบวกและลบ
ให้ผลเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจ พฤติกรรมใดที่มีผลต่อเนื่องเป็นบวก
พฤติกรรมนั้นย่อมเกิดขึ้นซ้ำบ่อยครั้ง ในขณะที่พฤติกรรมที่ให้ผลเป็นลบมีแนวโน้มที่จะไม่เกิดขึ้นต่อไป
ซึ่งตามทฤษฎีนี้ ครูสามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียนได้โดยผู้เรียนไม่รู้สึกว่าถูกควบคุม
ซึ่งหลักการที่ควรนำมาแก้ปัญหาบริการให้คำปรึกษาคือ การเสริมแรงจูงใจในทางบวก (positive reinforcement) เป็นการเสริมแรงจูงใจเพื่อเพิ่มพฤติกรรมที่ต้องการ
โดยการให้รางวัล หรือผลตอบแทนในสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นต้องการ เช่น การกล่าวคำขอบคุณ
การให้คำชื่นชม เป็นต้น ซึ่งนำเอาทฤษฎีนี้มาประยุกต์ใช้ในการสร้างแรงจูงใจให้แก่นักเรียน
ซึ่งผู้ให้คำปรึกษาที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการเสริมแรงในด้านลบ
และหันมาใช้การเสริมแรงทางบวกที่เหมาะสมกับเด็กในช่วงวัยนี้แทน นั่นคือ การชม
ยกย่อง และให้รางวัล อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนให้ข้อมูล
เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เกิดความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะพัฒนาความสามารถและความถนัดของตนเองให้สำเร็จ